บางส่วนของชีวิต : ศิลปินแห่งชาติ ‘สรพงศ์ ชาตรี’

กระทู้: บางส่วนของชีวิต : ศิลปินแห่งชาติ ‘สรพงศ์ ชาตรี’

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. *8q* said:

    บางส่วนของชีวิต : ศิลปินแห่งชาติ ‘สรพงศ์ ชาตรี’




    ไม่เพียงแต่จะเป็นดาวที่ไม่เคยอับแสง แม้จะผ่านการแสดงภาพยนตร์มาแล้วเกือบ 500 เรื่อง สำหรับ‘สรพงศ์ ชาตรี’ หรือ ‘กรีพงศ์ เทียมเศวต’ อดีตพระเอกยอดนิยมและนักแสดง ผู้ได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติ ประจำปี 2551 สาขาศิลปะการแสดง ประเภทนักแสดงภาพยนตร์และละครโทรทัศน์

    เพราะชีวิตในวัยย่างเข้า 60 ปีของเขา ยังเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยพลัง พร้อมจะทำสิ่งที่ตั้งใจให้บรรลุเป้าหมาย และปฏิญาณตนว่าจะขอทำหน้าที่นักแสดงผู้ซื่อสัตย์ต่อผู้ชมต่อไป ดังเช่นที่เขากล่าวไว้ในวันที่ได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติว่า

    “ผมเป็นเด็กท้องทุ่ง พ่อแม่ปู่ย่า ตายาย ไม่เคยมีใครเป็นดารา ไม่เคยได้เรียนมหาวิทยาลัยที่สอนการเป็นดารา ดังนั้นสิ่งที่ได้มาต้องอาศัยความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ทำความดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่หวังผลตอบแทน”

    ภายหลังว่างเว้นจากการเตรียมงานเพื่อทำบุญ 7 วัน 7 คืน ณ บ้านโนนกุ่ม ต.มิตรภาพ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา อันเป็นสถานที่ซึ่งเขาได้เป็นโต้โผ สร้างอุทยานและรูปปั้นหลวงปู่โต องค์ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นที่นั่น

    นักแสดงผู้เป็นลูกหลานชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและเวลานี้ทำหน้าที่เป็นประธาน ‘มูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เมตตาบารมี’ ได้บอกเล่าถึงสิ่งหนึ่งที่เขาต้องการสานต่อและทำให้สำเร็จภายใน 20 ปี เพื่อเป็น การตอบแทนพระพุทธศาสนา และเป็นสัญญลักษณ์ให้ ชาวพุทธได้กราบไหว้ คือการสร้างพระนอนองค์ใหญ่ที่สุดในโลก

    ชีวิตของนักแสดงผู้นี้ไม่ได้มาข้องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเอาในวัยที่สังขารของชีวิตเริ่มร่วงโรย เพราะนับแต่วัยเด็กเขามักติดตามพ่อแม่ไปทำบุญที่วัดอยู่เป็นประจำ

    “จำความได้ก็ตามพ่อแม่ไปวัดแล้ว พ่อแม่ชอบไปทำบุญ ถึงวันโกนก็ต้องไปนอนวัด ตื่นเช้าขึ้นมาก็ต้องช่วยทางวัดล้างถ้วยล้างชาม ขัดกระถางธูป ล้างคณโฑมาใส่น้ำใส่ยาอุทัย ใส่ดอกมะลิ และยกตะลุ่ม (สำรับอาหารของชาวอยุธยา)ไปถวายพระ เหลือจากพระฉันเราก็ทาน แล้วก็ช่วยล้างเก็บ”

    กิจวัตรดีงามเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาบอกว่าได้รับการปลูกฝังไว้ในวิถีชีวิต

    “เป็นเรื่องปกติของคนอยุธยา และคนบ้านนอกทุกบ้าน ที่ถึงวันพระต้องไปทำบุญ และวันธรรมดาต้องใส่บาตร จัดเตรียมอาหารและขนมสารพัด”

    ในวัย 11 ขวบ เขาได้รับการบรรพชาเป็นสามเณร กระทั่งอายุ 19 ปี จึงได้สึกออกมา และได้รับการชักชวนให้เข้าสู่วงการบันเทิงและมีชื่อเสียงในที่สุด

    จากชีวิตสามเณรที่ต้องรักษาศีล 10 ไม่บกพร่อง ส่งผลให้ชีวิตฆราวาสของนักแสดงผู้นี้ เป็นชีวิตที่พยายามประคองตนให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมเรื่อยมา

    “เวลาไปถ่ายหนัง หรือถูกเชิญไปร้องเพลงที่ไหนก็ต้องแวะไปวัด เวลาพักกองถ่าย คนอื่นเขาจะกินเหล้ากันเราก็ไปวัด หรือตกเย็นถ่ายหนังเสร็จ ก็ไปคุยกับ พระ ติดนิสัยมาตั้งแต่ตอนเป็นเณร อยู่กับพระมาตั้งแต่อายุ 11-19 ปี จึงทำให้คุยกับคนอื่นไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะเราไม่กินเหล้ากับเขา ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นสนุ้ก ไม่เล่นม้า ไม่เล่นหวย ชอบคุยกับพระมากกว่า ได้ถามปัญหาเกี่ยวกับธรรมะ มันได้ประโยชน์กับชีวิต”

    เขาได้ยกตัวอย่างให้ฟังเกี่ยวกับช่วงเวลาหนึ่งที่ชีวิตต้องประสบกับความทุกข์ แต่เมื่อนำธรรมะมาปรับใช้แก้ปัญหา ทุกข์ก้อนใหญ่ที่เคยแบกไว้และทำให้ต้องหนักอกหนักใจ ในที่สุดกลับสามารถปล่อยวางได้

    “ประมาณปี 2530-2532 ช่วงนั้นวิดีโอเข้ามาใหม่ๆ หนังก็มีน้อยลง แต่ค่าใช้จ่ายมันไม่น้อยตาม เผลอเอาเช็คที่เราเซ็นแล้วหนึ่งเล่มให้เพื่อนไปกรอกตัวเลขเอง ปรากฏว่า คนโทรมาทวงเช็คเราเต็มเลย ตอนนั้นมีบ้านอยู่บนเนื้อที่ 2 ไร่ที่ลาดพร้าว ก็ต้องขายบ้านที่อยู่ ลูกก็ยังเล็ก เป็นทุกข์มาก ต้องขายบ้าน ถ้าไม่ขายบ้านไม่มีทางใช้หนี้ได้เลย เพราะหนี้ประมาณ 10 ล้าน”

    จึงไปหาหลวงพ่อรูปหนึ่ง เล่าให้ท่านฟังว่าผมจะต้องย้ายบ้าน ผมจะต้องขายบ้าน ซึ่งผมเพิ่งสร้าง และอยู่มาได้ไม่กี่ปีเอง ท่านจึงถามว่า ย้ายบ้านมากี่ครั้งแล้ว ผมบอกว่า หลายครั้งเหมือนกัน ท่านจึงถามว่าแล้วบ้านใหญ่ไหม ...ใหญ่ แล้วมีความสุขไหม... ไม่สุขครับ มันทุกข์

    หลวงพ่อบอกว่า ถ้า เราอยู่ในแม่น้ำใหญ่ แต่ไม่มีปลาให้กิน มันทุกข์ไหม.. ทุกข์ และถ้าอยู่ในคลองเล็กๆแต่มีปลาชุกชุม จะกินเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะปลามีอยู่เต็มหัวบันได มีความสุขไหม...สุข แค่นี้ ผมก็สว่างแล้ว จึงขายบ้าน 2 ไร่ มาอยู่บ้าน 120 ตารางวา และมีความสุข เพราะเมื่อก่อน บ้าน 2 ไร่ อยู่ลาดพร้าว ลูกๆ เรียนสาธิตเกษตร รถติด ทะเลาะกันทุกวันเลย เพราะต้องตื่นเช้า แต่พอมาอยู่บ้านเล็กแถวถนนวิภาวดี ใกล้โรงเรียนลูก ทุกคนก็แฮปปี้กัน”

    การไม่ยึดติดกับสิ่งที่เคยมีเคยเป็น คือสิ่งที่เขาหาคำตอบให้กับตัวเองได้จากปัญหาครั้งดังกล่าว

    “บางครั้งศักดิ์ศรีหรือการยึดติด มันทำให้เราทุกข์ ถ้ามีคนชี้ทางออกให้เรา และมีธรรมะ เราจะรู้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มันตั้งอยู่ และดับไป เคยย้ายบ้านมาหลายครั้ง จะย้ายอีกครั้งก็ไม่เห็นเป็นไร ถึงตอนนี้ชีวิตผมจะอยู่ที่ไหนก็ได้ อยู่ในห้องแคบๆก็ได้ เพราะคับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก เชื่อแบบนั้นจิตใจก็สบาย ชีวิตก็เป็นสุข”

    ส่วนความเชื่อต่อการรักษาศีลและทำบุญเพื่อจะได้รับสิ่งที่ดีตอบกลับมาสู่ชีวิตในแบบของเขาคือ

    “ถ้าอยากรวย ก็ต้องทำบุญให้ทาน อยากสวยก็ต้องรักษาศีล อยากอายุยืนก็ต้องไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เพราะมันจะได้ไม่ทำลายสุขภาพ ปอดก็จะไม่พัง”

    ในขณะที่การสร้างถาวรวัตถุ สิ่งที่ได้รับกลับมาก็หาได้เป็นเรื่องของชื่อเสียงเงินทอง แต่เป็นเรื่องของความ สุขใจเมื่อได้เห็น ผู้อื่นมีความสุข

    “เราก็ไม่ใช่คนร่ำรวย เรียนแค่ ป.4 เศรษฐีก็ไม่ได้เป็น ในบัญชีมีเงินไม่ถึงล้านบาท รวยก็ไม่รวย เก่งก็ไม่เก่ง แล้วทำไมจะต้องมาสร้างหลวงปู่โต ตั้งห้าหกร้อยล้าน แล้วยังคิดจะสร้างพระนอนอีกตั้งพันล้าน ทำไมต้องเป็นเรา ทำไมคนที่เขารวย เก่ง และฉลาดกว่าเราเขาถึงไม่ได้ทำ แต่พอเราทำแล้ว ได้เห็นคนมาเขามีความสุขไม่เคยเห็นคนร้องไห้ เห็นแต่คนมีรอยยิ้ม หรือเวลาที่คนเขากินราดหน้าที่เราทำแจก แล้วบอกว่า อู๊ย...อร่อย เห็นสวนแล้วบอกว่า โอ้...สวนสวย พอเขามีความสุข เราก็มีความสุขไปกับเขาด้วย มันก็แค่นั้น ไม่มีอะไร”

    ดังนั้นความสุขส่วนหนึ่งของนักแสดงผู้มีดีกรีแห่งชาติพ่วงท้ายในยามนี้ ก็คือการเร่งทำในสิ่งที่อยากทำและสิ่งนั้นมีผลต่อการสร้างความสุขให้แก่บุคคลอื่น
    หลายคนอาจมองว่าเป็นภาระที่ดูหนัก แต่เขากลับมองว่า มันคือการเติมเต็มให้ชีวิตมีพลังอยู่เสมอ

    “ปกติคนอายุ 60 เขาจะห่อเหี่ยว ปลดเกษียณ และไม่ทำอะไรแล้ว แต่ผมมีภาระต้องหาเงินพันล้าน มาสร้างพระนอน ชีวิตมันก็เลยไม่ห่อเหี่ยว บางวันรีบตื่นแต่เช้าขึ้นเครื่องบินไปช่วยงานกาชาดที่แม่ฮ่องสอน กลับมาก็รีบไปออกรายการทีวีแต่เช้า เพราะเป็นรายการสด ชีวิตคงต้องรีบอย่างนี้ไปจนถึงอายุ 80”
    เหตุผลที่ทำให้เขาบอกตัวเองว่า จะต้องเร่งทำความดีอะไรสักอย่างฝากไว้บนโลกก่อนที่ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตจะมาถึง นั่นก็คือ

    “เราจะได้มีคำตอบไปบอกกับยมบาลไง ถ้าท่านถามว่า ตอนเป็นมนุษย์ได้ทำความดีอะไรมาบ้าง ผมจะตอบว่าผมสร้างหลวงปู่โต ผมสร้างพระพุทธเจ้า ผมทอดผ้าป่า ผมทอดกฐิน ผมสร้างกุศล ผมเคยทำชั่วมาบ้าง แต่ทำดีมากกว่าครับ(หัวเราะ)”



    http://board.agalico.com/showthread.php?t=27712
    ก่อนเกิดใครเป็นเรา<br />เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร<br /><br />สิ่งที่ทำอยู่คือกรรมใหม่<br />ผลที่ได้รับคือกรรมเก่า<br /><br />ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน<br />มองในสิ่งที่ไม่เห็น<br />ทำในสื่งที่ไม่มี
     
  2. *8q* said:

    Re: บางส่วนของชีวิต : ศิลปินแห่งชาติ ‘สรพงศ์ ชาตรี’













    ยืมนะครับจารย์เดฟ
    ก่อนเกิดใครเป็นเรา<br />เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร<br /><br />สิ่งที่ทำอยู่คือกรรมใหม่<br />ผลที่ได้รับคือกรรมเก่า<br /><br />ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน<br />มองในสิ่งที่ไม่เห็น<br />ทำในสื่งที่ไม่มี
     
  3. peterC said:

    Re: บางส่วนของชีวิต : ศิลปินแห่งชาติ ‘สรพงศ์ ชาตรี’

    ขอบคุณมากๆ ครับ
     
  4. dayone said:

    Re: บางส่วนของชีวิต : ศิลปินแห่งชาติ ‘สรพงศ์ ชาตรี’

    แสดงหนังเยอะขนาดนี้เลยหรอครับ